การประกันชีวิตมีหลายแบบ แต่ละแบบจะมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ
โดยที่การประกันชีวิตแบบเงิน ได้ประจำมีข้อกำหนดในลักษณะส่งเสริมให้ผู้ซื้อกรมธรรม์ออมเงินไว้ใช้ยาม เกษียณ โดยมีการกำหนดให้ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันตามระยะเวลาที่กำหนด หลัง จากนั้นสามารถหยุดส่งเบี้ยประกัน โดยได้รับความ คุ้มครองชีวิตต่อไปและได้รับเงินคืนด้วย จึงถือได้ว่าเป็นการออมเพื่อเกษียณอายุอีกรูปแบบหนึ่ง ตัวอย่างของกรมธรรม์แบบเงินได้ประจำ 1. เมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเบี้ยประกันติดต่อกันมาเป็นระยะเวลา หนึ่ง เช่น 10 ปี หรือ 20 ปี ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ซื้อกรมธรรม์ หลัง จากนั้นไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันอีก 2. ภายหลังจากหยุดส่งเบี้ยประกัน ผู้เอาประกันจะได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้ 2.1 ได้รับความคุ้มครองต่อไปอีก เป็นระยะเวลาตามที่กำหนด เช่น คุ้มครองต่อไปอีก 10 ปี 20 ปี หรือคุ้มครองต่อไปจนถึงอายุ 99 ปี เป็นต้น 2.2 ได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น 2.2.1 ได้รับคืนเงินก้อน หนึ่งในอัตราร้อยละ 2 ของทุนประกัน คูณจำนวนปีที่ชำระเบี้ยประกัน 2.2.2 ได้รับเงิน รายปีในอัตราร้อยละ 10 ของทุนประกัน โดยจะได้รับปีละครั้งจนกว่าจะครบอายุที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ เช่น จนกว่าผู้เอาประกันจะมีอายุ 70 ปี 80 ปี หรือ 99 ปี 2.3 เมื่อบริษัทประกันชีวิตนำเบี้ยประกันไปลงทุน กำไร จากการลงทุนจะมีการจ่ายให้ผู้เอาประกันในรูปของเงินปันผลอีกจำนวนหนึ่งด้วย สิทธิประโยชน์ทางภาษี เงินที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีระยะ เวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปและได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันภัยที่ประกอบกิจการ ประกันชีวิตในราชอาณาจักร สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 100,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ ผลประโยชน์ที่ได้รับจากกรมธรรม์ประกันชีวิตไม่ต้องเสียภาษี | |
ที่มา : กองทุนเลี้ยงชีพไทย หมายเหตุ: ตัวอย่างแบบประกันโปรดคลิกที่ลิ๊ง >>Retire 60P80<<ครับ |